ไมโครโฟน
เป็นเสมือนประตูทางเข้าของเสียงสู่ระบบการบันทึก ไมโครโฟนที่มีขายกันโดยทั่วไปมีอยู่หลายแบบหลายชนิด เช่น Dynamic Microphones,Condenser(Capactitor) Microphones,Electret condenser Microphones,Ribbon Microphones หรือ Carbon Microphones เป็นต้น แต่ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันมากที่สุดได้แก่ Dynamic Microphones กับ Condenser Microphones เพราะฉะนั้นผมจะกล่าวถึงแต่ไมโครโฟน 2 ชนิดนี้เท่านั้นครับ
Dynamic Microphones
เป็นไมโครโฟนที่เราพบเห็นกันทั่วไป ที่ใช้ร้องเพลง Karaoke หรือใช้ในการพูดประชาสัมพันธ์ หรือการแสดงดนตรี มีลักษณธโครงสร้างการออกแบบที่ไม่ซับซ้อน และทนทานต่อการใช้งาน หลักการทำงานง่ายๆ
องค์ประกอบของ Dynamic Microphones ประกอบด้วยขดลวดเป็นวงตรงกลาง มีแกนแม่เหล็กติดอยู่กับแผ่น Diaphragm เมื่อมีเสียงมาตกกระทบกับแผ่น Diaphragm จะทำให้ขดลวดมีการเคลื่อนตัวอยู่บนแก่นแม่เหล็ก ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำ อละเกิดเป็นพลังงานไฟฟ้าเป็นคลื่นเสียงเพื่อนำไปขยายต่อไปยังระบบเครื่องขยายเสียง
รูปภาพอ้างอิงจาก
Dynamic Microphones ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ Shure SM57, SM 58 ได้รับความนิยมมากในการแสดงดนตรีสด หรือการพูดในห้องพากษ์เสียงละครหรือภาพยนตร์ก็เคยเห็นมีใช้กันอย่างแพร่หลาย
รูปภาพอ้างอิงจาก
Condenser Microphones
เป็นไมโครโฟนที่ใช้กันใน Studio เป็นส่วนใหญ่ มีลักษณะโครงสร้างภายในที่บอบบาง แต่สามารถเก็บรายละเอียดของเสียงได้เร็วและกว้างกว่า Dynamic Microphones ในการใช้งาน Condenser Microphones จะต้องมีไฟมาเลี้ยงวงจร เรียกว่า Phantom Power มีลักษณะเป็นไฟ DC ขนาด 12-48 v. ค่ามาตราฐานส่วนใหญ่ใช้ 48v.
โครงสร้างของ Condenser Microphones ประกอบด้วยแผ่นเพลท 2 แผ่น วางคู่กัน เพลทแผ่นหน้าจะมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะบางเบา ทำหน้าที่คล้ายแผ่น Diaphragm ของ Dynamic Microphones แผ่นเพลทหลังจะหนาและแข็งกว่าแผ่นหน้าตามภาพด้านล่าง โครงสร้างพื้นฐานของ Condenser Microphones จะเห็นว่ามีแบตเตอรี่ซึ่งใช้เป็น Phantom Power ส่งกระแสเข้าไปในวงจร ทำให้เกิดภาวะแบบ Capaciter (ตัวเก็บประจุไฟฟ้า) ระหว่างแผ่นเพลททั้งสอง
เมื่อมีคลื่นเสียงมากระทบกับแผ่นเพลทหน้า ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระยะระหว่างเพลท เมื่อแผ่นเพลทเคลื่อนที่เข้าใกล้กัน ค่า Capacitance จะเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการ Charge กระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น และเมื่อแผ่นเพลทเคลื่อนที่ออกจากกัน ก็ทำให้ค่า Capacitance ลดลง ทำให้เกิดการ Discharge กระแสไฟฟ้าเกิดขึ้น เมื่อเกิดการ Charge และ Discharge สลับไปสลับมาตามการเคลื่อนตัวของแผ้นเพลทก็ทำให้เกิดเป็น AUDIO SIGNAL เป็นคลื่นเสียงเพื่อนำไปขยายต่อไปยังระบบเครื่องขยายเสียง
ข้อมูลทั้งหมดอ้างอิงจาก หนังสือ ทำบ้านให้เป็น Home Studio ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น